สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร

กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทย หรือที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า “Bangkok” และยังเป็นเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก ชื่อเต็มว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ กรุงเทพมหานครตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา  โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน จึงได้แบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ ฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี

อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง สามรถเที่ยวได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งจะมีบรรยากาศและความสนุกแตกต่างกันออกไป ตามความชอบของนักท่องเที่ยว และยังมีแหล่งชอปปิ้งและแหล่งค้าขายที่สำคัญมากมาย เป็นที่ถูกอกถูกใจของบบรดาเหล่านักช้อป เพราะมีสินค้าที่หลากหลายอีกทั้งราคาไม่แพงสามารถซื้อได้อย่างจุใจเลยทีเดียว

การที่จะมาเที่ยวเที่ยวในกรุงเทพฯนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เนื่องจากมีรถสาธารณะไว้คอยบริการมากมาย สามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกของนักท่องเที่ยว เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถตู้ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน หรือวินมอร์ไซค์ ส่วนเรื่องราคาไม่แพงมากนัก วันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในกรุงเทพฯเมื่อมาเที่ยวกรุงเทพแล้วควรจะไปที่ไหนกันบ้าง ตามแบบความชอบของนักท่องเที่ยว มีอะไรบ้างลองไปอ่านกันดูเลย…

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในกรุงเทพฯ แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย

สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงใน กทม.

1.พระบรมมหาราชวัง

ปัจจุบันแบ่งพื้นที่ออกเป็นบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดารามและเขตพระราชฐานอันเป็นพื้นที่สำหรับเป็นที่ประทับและบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ โดยเขตพระราชฐานสามารถแบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน ส่วนตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประดิษฐานวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว พระอารามใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาที่สำคัญ ภายในพระอุโบสถ และระเบียงรอบวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสวยงามมาก

เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระคู่บ้านคู่เมืองของไทยนอกจากนี้ยังมีประดิษฐานอื่นๆ ที่สวยงามและมีประวัติมายาวนานเช่น พระปรางค์ 8 องค์ พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทนครวัดจำลอง ปราสาทพระเทพบิดร เป็นต้น ในส่วนสุดท้ายคือ ศาลาเครื่องราชอิสริยยศและเหรียญกษาปณ์ ตั้งอยู่ภายในบริเวณพระบรมหาราชวังด้านขวามือก่อนถึงทางเข้าพระราชวังส่วนใน เป็นที่จัดแสดงเหรียญกษาปณ์ และเงินตราที่ใช้ในประเทศไทยรวมทั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของสำนักฝ่ายใน

เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30–16.00 น.  ค่าเข้าชม คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 350 บาท การแต่งกายที่เหมาะสมเมื่อเข้าชมพระบรมมหาราชวัง โปรดแต่งกายสุภาพ ห้ามใส่กางเกงขาสั้น, กระโปรงสั้น,เสื้อรัดรูป ห้ามใส่เสื้อผ้า, กางเกง, กระโปรงที่บางจนเกินไป ห้ามใส่เสื้อกล้าม, เสื้อแขนกุด, รองเท้าแตะที่ไม่มีสายรัดข้อเท้า ห้ามเอาชายเสื้อออกนอกกางเกง

2.พระที่นั่งวิมานเมฆ

เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2443 เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกในพระราชวังดุสิต สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลังและนับว่าเป็นอาคารไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียนตัวอาคารเป็นรูปตัวอักษรตัว L ในภาษาอังกฤษ ตั้งฉากกัน 2 ปีก แต่ละปีกยาว 60 เมตร บริเวณหน้าจั่ว เชิงชาย และระเบียง

ประดับด้วยไม้แกะสลักลวดลายขนมปังขิง มีห้องใหญ่ทั้งหมดประมาณ 31 ห้อง และปัจจุบันเปิดให้เข้า ชมทั้ง 31 ห้อง ห้องต่างๆ แบ่งออกเป็น 5 หมู่สี คือ สีฟ้า เขียว ชมพู งาช้าง และสีลูกพีช แต่ละหมู่สีเจ้านายหรือพระบรม วงศานุวงศ์ฝ่ายในประทับเป็นส่วนๆ มีมัคคุเทศก์พาชมพร้อมบรรยายเฉพาะพระที่นั่งวิมานเมฆวันละ 4 รอบ

เนื่องจากเป็นสถานที่ในเขตพระราชฐาน ผู้เข้าชมโปรดแต่งกายสุภาพตามระเบียบ เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา09.30–16.00 น. อัตราค่าเข้าชมพระที่นั่งวิมานเมฆ คนไทย ผู้ใหญ่ 75 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ 100 บาท หากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะต้องทำหนังสือแจ้งล่วงหน้า

3.พระราชวังพญาไท

เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 โดยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักเป็นที่ประทับ เพื่อใช้เป็นที่เสด็จทอดพระเนตรการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์  ในปัจจุบันคงเหลือพระที่นั่งที่สร้างในรัชกาลที่ 5 เพียงองค์เดียวคือพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ และพระที่นั่งที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 คือ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน พระที่นั่งพิมานจักรี พระที่นั่งศรีสุทธาวาส พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ พระตำหนักเมขลารูจี สวนโรมัน และ ศาลท้าวหิรันยพนาสูร

โดยชื่อของพระที่นั่งจะตั้งให้มีความคล้องจองกัน ได้แก่ ไวกูณฐเทพยสถาน พิมานจักรี ศรีสุทธนิวาส เทวราชสภารมย์ อุดมวนาภรณ์ ลักษณะของสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของพระราชวังพญาไทคือหอคอยสูงและหลังคายอดแหลมของพระที่นั่งพิมานจักรี ส่วนภายในมีภาพเขียนแบบปูนเปียกเป็นลวดลายงดงามแบบตะวันตก นอกจากนี้ยังมีสวนโรมันตั้งอยู่ด้านหลังของหมู่พระที่นั่งพระราชวังพญาไท เป็นสวนแบบตะวันตก มีศาลาเปิดคล้ายกับเป็นเวทีอยู่ด้านหน้ามีความสวยงามเป็นอย่างมาก

พระราชวังพญาไทตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า เปิดให้เข้าชมเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้นชมภายในพระราชวังวันละ 2 รอบ เวลา 9.30 น. และ 13.30 น. เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้เข้าชมโปรดแต่งกายสุภาพตามระเบียบ

ที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในกรุงเทพฯ

4.พระราชวังดุสิต

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นภายหลังเสด็จกลับจากการประพาสยุโรปครั้งที่ 1 และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อที่ชายทุ่งนาของราษฎรระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสน เพื่อสร้างพลับพลาขึ้นเป็นที่เสด็จประทับแรมชั่วคราว แล้วพระราชทานนามว่า สวนดุสิต

เนื่องจากนายแพทย์ประจำพระองค์ได้กราบบังคมทูลว่า ภายในพระบรมหาราชวังมีความแออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้ทรงพระประชวนอยู่เสมอ ที่ประทับชั่วคราวนี้ สร้างขึ้นแตกต่างจากพระบรมมหาราชวังเพราะเน้นไปให้ผู่ที่อยู่อาศัย ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด คือมีพระตำหนักพลับพลา อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ สวนผลไม้ แปลงไม้ประดับล้อมรอบไปด้วยสระน้ำ คูน้ำ และคลองน้อยใหญ่ จึงทำให้เกิดความร่มรื่นและมีอากาศที่สดชื่นตลอดเวลา ภายหลังเสด็จฯมาประทับที่สวนดุสิตบ่อยครั้ง จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างวังเป็นที่ประทับเป็นการถาวร พระราชทานนามว่า วังสวนดุสิต

พระราชวังดุสิตเปิดให้ชมทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ผู้เข้าชมโปรดแต่งกายให้สุภาพ ตั้งแต่เวลา : 09.30-16.00 น.  ค่าเข้าชม : คนไทย 75 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท (กรณีที่ซื้อตั๋วเข้าชมพระบรมมหาราชวังแล้วจะรวมค่าชมพระที่นั่งอนันตสมาคม พระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต พระราชวังบางปะอิน และพระราชวังสนามจันทร์)

มีความสวยงามและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเป็นจำนวนมาก

5.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)

รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับพระบรมมหาราชวังและกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวงและประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) แกะสลักมาจากหยกสีเขียวเข้ม เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของไทย

ซึ่งรัชกาลที่ 1 ได้ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทร์  เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ภายในเป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด 4 ระดับ 3 ซ้อน มีช่อฟ้า 3 ชั้น และระเบียงรอบวัด มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ เล่าขานตำนาน เรื่องรามเกียรติ์ถึง 178 ห้อง เป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลก

วัดพระแก้วนั้นมียักษ์ทวารบาล 12 ตน เป็นรูปปูนปั้นประดับกระเบื้อง ติดกระจก ยืนกุมกระบองอยู่ประจำประตูต่าง ๆ รอบพระอุโบสถ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 สูงประมาณ 6 เมตร แต่ละตนก็มีสีสันและหน้าตาแตกต่างกัน เป็นอีกจุดสนใจของนักท่องเที่ยวที่มา เปิดให้เข้าชมทุกวัน 08.30-15.30 น. คนไทยเข้าชมฟรี  ชาวต่างชาติ 200 บาท โปรดแต่งกายสุภาพเมื่อเข้าชม

6.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)

เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรมช่างสิบหมู่ฝีมือเยี่ยม มาร่วมอำนวยการบูรณปฏิสังขรณ์ เพื่อสถาปนาให้เป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง แล้วเสร็จและโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองเมื่อปีพุทธศักราช 2344 แล้วพระราชทานนาม “วัดโพธาราม” ใหม่ว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ”

ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” นอกจากนี้ยังถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์ ภายในวัดแห่งนี้ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ เขตวัดโพธาราม (เดิม) และเขตพระอุโบสถ

นักท่องเที่ยวสามรถเช้าไปชมความงดงามและกราบสิ่งศักสิทธิ์ได้ทุกวัน เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 8.00-17.00น. นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติจะต้องซื้อบัตรเข้าชมคนละ 20 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวต้องแต่งกายสุภาพ สุภาพสตรี ห้ามสวมกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเข้าไปเที่ยวชม

วัดชื่อดังของเมืองไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดี

7.วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)

เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมาใน พ.ศ. 2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรีจึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารค ถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น “วัดแจ้ง” เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง

ในสมัยรัตนโกสินทร์รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ ๑ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม”

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า“วัดอรุณราชวราราม”จัดเป็นพระอารามหลวงชั้น วรมหาวิหารเรียกชื่อเต็มว่า”วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร”

นักท่องเที่ยวที่มาสามรถเข้าไปกราบสักการะเยี่ยมชมความสวยงาม ของวัดได้ทุกวัน เวลาเปิด-ปิด 08.00-17.30 น. คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 50 บาท การเดินทางสามารถไปขึ้นเรือข้ามฟากจากฝั่งพระนครที่ท่าเตียน ค่าโดยสาร 3.5 บาท

วัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพของคนท้องถิ่น

8.วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (ภูเขาทอง)

เดิมเป็นวัดเก่าชื่อ วัดสะแก เป็นวัดที่อยู่นอกกำแพงเมืองริมคลองมหานาค ตรงที่บรรจบกับคลองบางลำพู ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอารามในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และพระราชทานนามว่า “วัดสระเกศ”

ส่วนเจดีย์ภูเขาทองนั้นเริ่มสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  โดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า “สุวรรณบรรพต” สูง 77 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพต

เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของพระสมณโคดม ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของพระราชวงศ์ศากยราชเพราะมีคำจารึกอยู่ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ขณะนั้นกำลังทรงผนวชอยู่ที่อินเดีย จึงเสนอให้รัฐบาลอินเดียโดยมาเควส เดอลัน อุปราชอังกฤษประจำประเทศอินเดีย ส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาถวายในฐานะที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ที่เป็นพุทธมามกะอยู่ในขณะนั้น

โดยด้านบนภูเขาทองนั้นนักท่องเที่ยวสามรถไปชมความงดงามและกราบสิ่งศักสิทธิ์หรือจะชมทัศนียภาพที่สวยงามของกรุงเทพมหานครได้โดยรอบเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น   คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 20 บาท นักท่องเที่ยวต้องแต่งกายสุภาพ

9.สวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์

ภายในบรรยากาศที่ร่มรื่นสวยงาม กว้างใหญ่อยู่ในใจกลางกรุงเทพฯ ศูนย์รวมการแสดงยิ่งใหญ่ระดับโลกมี 7 โชว์ 7 เวที อาทิ โชว์อุรังอุตังชกมวย โชว์สิงโตทะเล โชว์โลมา โชว์นก โชว์สตั้นท์ โชว์สงครามจารกรรม และโชว์ละครสัตว์ สนุกสนาตื่นตาตื่นใจกับล่องเรือจังเกิลครูซ ท่ามกลางป่าดิบอเมซอน บรรยากาศน่าพิศวงนี้ต้องใช้เวลารอคอยนานกว่า 15 ปี และยังเป็นสวนสัตว์เปิดที่มีสัตว์หายากใกล้สูญพันธ์ รวมทั้งสัตว์อนุรักษ์มากกว่า 400 ประเภท จำนวนมากกว่า 4,000 ตัวจากทั่วทุกมุมโลก

สัมผัสชีวิตสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ สัตว์ป่าหายากนานาชนิด ใกล้ชิดกับฝูงสัตว์ป่ามากมาย อาทิ ฝูงยีราฟ ม้าลาย กระทิง ควายป่า แรดขาว กวางป่า อิมพาลา และตื่นเต้นกับการแสดงให้อาหารสัตว์ดุร้ายในโซนเสือ สิงโต และหมี ที่คุณไม่ควรพลาด นักท่องเที่ยวที่มาสามรถสัมผัสและรู้จักกับสัตว์ต่างๆได้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆอีกด้วย สามารถมาเที่ยวกันได้กับครอบครอบครัวในช่างวันหยุด

ซาฟารีเวิลด์เปิดบริการทุกวัน จันทร์ -ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น.วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนไทย 580 บาท เด็ก 380 บาท

10.สวนสัตว์ดุสิต (เขาดินวนา)

เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชอุทยานสวนดุสิต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนพระองค์ และทรงนำกวางดาวฝูงหนึ่ง จากชวามาเลี้ยงรวมกับสัตว์อื่นๆหลายชนิด ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 คณะรัฐบาลนำโดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูล ขอพระราชทานสวนดุสิต ให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ ดำเนินการจัดสร้างเป็นสวนสัตว์ และเป็นที่พักผ่อนของประชาชน ให้ใช้ชื่อว่า “สวนสัตว์ดุสิต” ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า เขาดินวนา

ภายในมีกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่น เรือจักรยานนาวา นั่งรถพวงชมรอบสวนสัตว์ หรือการให้อาหารสัตว์หน้าส่วนแสดง เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 – 18.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 100 บาท ปวส.-มหาลัย ข้าราชการในเครื่องแบบ 50 บาท เด็กเล็ก – ปวช. 20 บาท ผู้สูงอายุ คนพิการ พระสงฆ์ เข้าชมฟรี  สำหรับชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก 70 บาท

แหล่งเรียนรู้ของทุกคนในครอบครัว

11.นิทรรศรัตน์โกสินทร์ กรุงเทพฯ

ภายในอาคารจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับรัตนโกสินทร์ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ทั้งสื่อจัดแสดง หุ่นจำลอง การนำสื่อผสมเสมือนจริง 4 มิติ สื่อมัลติทัช มัลติมีเดียแอนิเมชั่นในลักษณะอินเตอร์เอคทีฟ เซล์ฟ เลิร์นนิ่ง (Interactive Self-learning) โดยแบ่งการจัดแสดงนิทรรศการออกเป็น 9 ห้องจัดแสดง นอกจากนิทรรศการแล้วยังมีพื้นที่สำหรับนิทรรศการหมุนเวียน (Event Hall) ที่บริเวณโถงชั้น 1 พื้นที่ประมาณ 300 ตรม.

เพื่อสำหรับให้บริการแก่สถาบันการศึกษาและองค์กรเอกชน ในการใช้จัดกิจกรรมหรือนิทรรศการทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนบริการห้องสมุด ร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึก อาหารเครื่องดื่ม  การเข้าชมผู้ชมสามารถเลือกชมได้ทั้ง 2 เส้นทาง หรือ เลือกชมเพียงเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งได้ตามความต้องการ โดยขึ้นอยู่กับรอบเวลาที่ว่างอยู่  หากต้องการเข้าชม 1 เส้นทาง จะใช้เวลาในการรับชม 2 ชั่วโมง หากต้องการเข้าชมทั้ง 2 เส้นทาง จะใช้เวลาในการรับชม 4 ชั่วโมง

อัตราการเข้าชมผู้ใหญ่ ราคา 100 บาท (ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ)  เด็กทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ความสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร นักเรียน/นักศึกษา ไม่เกินระดับปริญญาตรี และกำลังศึกษาอยู่ในประเทศไทยในเครื่องแบบหรือแสดงบัตรนักเรียน/นักศึกษา ผู้สูงอายุ (ชาวไทยที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป) แสดงบัตรประชาชน ภิกษุ สามเณร และ ผู้พิการ เข้าชมฟรี

แหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์เชิงสร้างสรรค์

12.ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ

ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ เป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ทีอยู่ในใจกลางเมืองที่น้องๆหนูๆสามรถมาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และภูมิศาสตร์ ประกอบไปด้วย อาคารท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ

ซึ่งภายในจะมีการจัดแสดงในห้องฉายดาว โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนหัวข้อการแสดงทุก 2 เดือน อีกทั้งยังมีนิทรรศการเรื่อง “ดวงดาวกับชีวิต” อยู่ภายนอกอาคาร อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ

และอาคารโลกใต้น้ำ จัดแสดงนิทรรศการ “มหัศจรรย์ชีวิตในสายน้ำ” อาคารธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบตัวเรา และอาคารวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมเอาสถานที่ออกกำลังกาย เช่น สระว่ายน้ำ สนามฟุตซอล ไว้ให้บริการ ซึ่งเด็กๆที่มาจะได้เรียนรู้กันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน อีกทั้งยังได้รับสาระต่างๆจากการเรียนรู้ที่อยู่รอบตัว

เปิดให้บริการ วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท พระภิกษุ-สามเณร ชมฟรี

13.เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

โครงการไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย แลนด์มาร์คใหม่ล่าสุดของกรุงเทพมหานคร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นแหล่งช้อปปิ้ง บนเนื้อที่กว่า 72 ไร่ ภายในแบ่งออกเป็น 4 ย่านได้แก่ ย่านเจริญกรุง ย่านกลางเมือง ย่านโรงงาน และย่านริมน้ำ มีร้านค้ามากมายกว่า 1,500 ร้านค้า ร้านขายสินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับร้านขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านให้ท่านได้เดินเลือกซื้อเลือกชมกันได้อย่างจุใจ

อีกทั้งยังมีร้านอาหารไว้คอยเอาใจคนชอบทานอีก 40 กว่าร้าน ส่วนมากนักท่องเที่ยวที่มาจะชื่นชอบถ่ายภาพคู่กับบรรยากาศภายในของที่นี้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่สร้างความบันเทิงต่างๆ สถานที่แสดงโชว์ เช่นหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ และคาลิปโซ่ คาบาเร่ อีกจุดเด่นของที่นี้เลยก็คือ ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ยักษ์ ที่อยู่ทางด้านข้างของที่นี้นั่นเอง ด้านหน้ายังมีบริการที่จอดรถซึ่งสามรถรองรับได้ 2,000 คันเลยที่เดียว ไม่เสียค่าเข้าชม

14.ตลาดนัดเลียบทางด่วนรามอินทรา

มีของขายมากมายเอาใจคนชอบเดินตลาดนัด ทั้งของมือหนึ่ง มือสอง อีกทั้งภายในยังมีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่มให้ได้ลิ้มชิมรสกันอีกด้วยเป็นที่ชื่นชอบในหมู่วัยรุ่นทั่วไป ร้านค้าที่นี่เปิดขายกันทุกวันจะเริ่มขายกันตั้งแต่ช่วง 17.00 น. และยาวไปจนถึงเที่ยงคืน แต่ก็มีบ้างถ้าช่วงวันหยุดที่คนยังเดินเยอะอยู่ร้านค้าก็จะเปิดให้บริการไปอีก 1-2 ชั่วโมง

ที่นี่จะแบ่งเป็นโซนต่างๆ ให้นักช็อป นักชิมได้เลือกซื้อ เลือกหากัน เช่น โซนเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่พ่อค้าแม่ขายจะขนมาขายกันเองอย่างมากมาย อีกโซนก็เป็นของกินที่มีแบบให้เลือกซื้อกลับบ้าน รวมทั้งใครที่อยากนั่งกินแบบสบายอารมณ์ก็มีหลายร้านให้เลือกกินกัน รวมทั้งใครชอบบุฟเฟ่ต์ ตลาดนัดแห่งนี้ก็มีบุฟเฟ่ต์ให้เลือกกินกันอีกด้วย ที่นี่มีสถานที่จอดรถไว้คอยบริการอย่างเพียงพอ

15.ตลาดนัดสวนจตุจักร

ภายในตลาดนัดจะแบ่งเป็นโครงการต่างๆ แยกตามประเภทของสินค้าสามมรถเดินเลือกชมได้ตามความต้องการ อาทิ เช่นเสื้อผ้า เครื่องประดับ แว่นตา เครื่องจักสาน อุปกรณ์งานฝีมือ หนังสือ อาหาร สัตว์เลี้ยง ของตกแต่งบ้านที่ทันสมัยหลากสไตล์ และของโบราณ สินค้าส่วนใหญ่สามารถต่อรองราคากันได้

ที่นี้จึงเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าราคาถูกและคุณภาพดี นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจะชอบมาเดินช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้ากัน ตลาดนัดสวนจตุจักรเปิดทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ 10.00-18.00 น. หลังจากนั้นจะเหลือแต่โซนด้านหน้าที่ยังมีบางร้านเปิดขายอยู่ซึ่งบางร้านจะลดราคาสินค้าให้ถูกลงกว่าเดิม

ย่านช้อปปิ้งชื่อดังในกทม.ที่ห้ามพลาด

16.ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองแบบครบวงจรที่มีพื้นที่รวมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์  มีสินค้ามากมายให้บริการทั้งร้านค้าแบรนด์ชั้นนำและร้านอาหารชื่อดังให้เลือกมากมาย และยังมีแหล่งความบันเทิงมส่วนของโรงภาพยนตร์ ลานโบว์ลิ่ง ห้องสมุด  ฟู้ดฮอลล์ และยังมีลานเอนกประสงค์สำหรับการจัดงานตามเทศกาลต่างๆที่ลานหน้าศูนย์การค้าอีกด้วย ลานเบียร์ และคอนเสิรต์ต่างๆ ซึ่งทุกปีจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาเยี่ยมชมและเลือกซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00–22:00 น.

17.ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21

ออกแบบโดยยึดแนวคิด “จุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้ง” ภายในตกแต่งเป็นธีมเมืองดัง ในแต่ละชั้น ทั้ง ลอสแอนเจลิส, โรม,โตเกียว, ลอนดอน, อิสตันบูล,ซานฟรานซิสโก ในรูปแบบมาร์เก็ตสตรีท โดยมีพื้นที่สำคัญดังนี้ กูร์เม่ต์มาร์เก็ต,ศูนย์อาหารเพียร์ 21,โรงภาพยนตร์เอสเอฟซีเนม่า ซิตี้ จำนวน 8 โรงภาพยนตร์,ฟิตเนสเฟิรสท์ ,โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์สุขุมวิทเทอร์มินัล 21 นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์ชั้นนำต่างๆให้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย นอกจากนี้ยังมีทางเชื่อมไปยังสถานีอโศกของรถไฟฟ้าบีทีเอส และสถานีสุขุมวิทของรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน อีกด้วย เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00–22:00 น.

18.ศูนย์การค้ามาบุญครอง

หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ MBK center” มีที่มาจากชื่อบิดา (มา) และมารดา (บุญครอง) ของคุณศิริชัย บูลกุล ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ เป็นอีกแหล่งช้อปปิ้งที่อยู่ในใจกลางเมือง ภายในมีสินค้าต่างๆให้เลือกซื้อมากมาย จำนวนกว่า 2,500 ร้านค้า อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้า เครื่องประดับเก๋ๆ โทรศัพท์มือถือหลากหลายรุ่น ซึ่งอยู่ในบริเวณชั้น 4 อีกทั้งยังมีโซนอื่นๆอีกเช่น ห้างสรรพสินค้าโตคิว,ท็อปส์มาร์เก็ต,ศูนย์อาหารเอ็มบีเค, เดอะ ฟิฟธ์ ฟู๊ด อเวนิว,โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า จำนวน 8 โรงภาพยนตร์, เอสเอฟ สไตร์ก โบว์ล ,โอลิมปิก คลับ ฟิตเนส,โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส โดยมีสะพานลอยปรับอากาศเชื่อมศูนย์การค้ากับสยามสแควร์ ผ่านอลาอาร์ต ที่ชั้น 2 และทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ที่ชั้น 2 และ 3 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00–22:00 น.

ศูนย์รวมการช้อปปิ้งทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

19.ศูนย์การค้าสยามพารากอน

เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย และยังมีคนเดินมากที่สุดในประเทศอีกด้วย ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 1 เป็นอาคารสูง 8 ชั้น ตัวอาคารจะใช้แก้วตกแต่งเป็นหลัก มีลิฟต์แก้วที่ใช้กระจกทั้งหมดเป็นแห่งแรกของประเทศ ภายในมีสินค้าแบรนด์ดังต่างๆระดับโลกกว่า 250 ร้านค้า ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าและนักท่องเที่ยวทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์รวมแฟชั่น ความงาม ศูนย์รวมอัญมณีและ นาฬิกา ร้านอาหา ภัตตาคาร ศูนย์รวมความบันเทิง ศูนย์รวมศิลปะและวัฒนธรรมทั้งของไทย และนานาชาติ ศูนย์การศิกษา และศูนย์รวมเทคโนโลยีอันทันสมัย

และยังมีร้านอาหารอร่อยๆหลากหลายร้านให้นักชิมทั้งหลายได้มาลองรับประทานกันนอกจากนี้ยังมีพารากอนซีนีเพล็กซ์ (Paragon Cineplex) โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จำนวน 16 โรงภาพยนตร์ ในจำนวนนี้มีโรงภาพยนตร์ดอลบี แอทมอส โฟร์ดีเอกซ์ และไอแมกซ์ ระบบละ 1 โรงภาพยนตร์ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสมาลงยังสถานีสยาม เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00–22:00 น.

20.ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว

ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร บริเวณแยกลาดพร้าวช่วงริมถนนพหลโยธินในเขตจตุจักร เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2526 และประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นศูนย์การค้าที่ครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ร้านค้าปลีกที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ และคอนเวนชั่นฮอลล์ เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ไม่เพียงเป็นศูนย์การค้าครบวงจรแห่งแรก ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์การค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยว โดยสามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการได้มากกว่า40 ล้านคนต่อปี

แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ได้แก่ ชั้นใต้ดิน ร้านหนังสือและสินค้าเพลงบีทูเอส ชั้น 1 แผนกเสื้อผ้าสตรี สินค้าชั้นสูง และนาฬิกา ชั้น 2 แผนกเสื้อผ้าวัยรุ่นสตรี กระเป๋า ชั้น 3 แผนกขายเสื้อผ้าบุรุษ สินค้าชั้นสูง รองเท้า กระเป๋าสตางค์ อุปกรณ์กีฬา ชั้น 4 แผนกขายชุดชั้นในสตรี ชุดเด็กเล็ก ของเล่นเด็ก ศูนย์อาหาร ชั้น 5 แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เตียงนอน เครื่องแก้ว ร้านอาหารชั้น 6 และ 7 – โรงภาพยนตร์เอสเอฟเอ็กซ์ สินค้าสุขภาพและความงาม นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จอดรถกว่า 3,000 คัน  เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00–22:00 น.

ไชน่าทาวน์เมืองไทยกับบรรยากาศที่อบอุ่น

21.ถนนเยาวราช (ไชน่าทาวน์เมืองไทย)

เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และยังคงความเป็นชุมชนคนจีน ในย่านธุรกิจการค้าทั้งแบบค้าส่ง-ค้าปลีก และยังมี ร้านทอง การเงิน การธนาคาร ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านค้า ฯลฯ เหมือนดั่งในอดีต ซึ่งในยามค่ำคืนถนนเยาวราชเส้นนี้จะแปรสภาพจากถนนเศรษฐกิจเป็นถนนขายอาหารมากมายที่มีความยาวที่สุดแห่งหนึ่ง

สองฟากฝั่งของถนนจะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดวางขายเรียงรายเป็นแนวยาวมีทั้ง  บะหมี่เป็ด ก๋วยจั๊บ แพะตุ๋น  ยาจีน เกาเหลาเครื่องในหมู ข้าวขาหมู  หูฉลาม ซุปรังนก ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ อาหารทะเล เกาลัดคั่ว  ของหวานและผลไม้หลากหลายชนิด

นักท่องเที่ยวที่มาสามรถเลือกนั่งได้ทั้งแบบภัตตาคาร ร้านริมถนนหรือจะซื้อจากรถเข็นและแผงลอยนานาชนิดก็ได้ ท่ามกลางบรรยากาศแสงสีไฟจากป้ายชื่อร้านที่ต่างก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบกัน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวท่านใดที่สนใจอยากจะไปลองสัมผัสบรรยากาศแบบชาวจีนในประเทศไทยก็สามารถไปได้ทุกวัน

22.ถนนข้าวสาร

เดิมเป็นย่านเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นตรอกที่ขายข้าวสาร มีการค้าขายข้าวสารมากมายจึงเรียกว่าตรอกข้าวสาร (เพราะขนาดเล็ก) ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นถนนข้าวสาร ปัจจุบันถนนข้าวสารถือเป็นถนนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก ในเรื่องการเล่นน้ำในวันสงกรานต์ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่หลั่งไหลมากันในช่วงนี้จนแน่น

ถนนข้าวสารยังเป็นย่านการค้าทั้งกลางวันและกลางคืนที่มีสินค้ามากมาย  ร้านเสื้อผ้าที่นี้ก็มีให้เลือกหลากหลายประเภททั้ง กางเกงเล ผ้าบาติก เสื้อผ้าฝ้าย มีกางเกงนักมวยและผ้าถุงแบบสำเร็จรูปให้เลือกมากมาย และยังเป็นแหล่งท่องราตรีสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะจะมีบาร์ ร้านนั่งดื่ม ร้านอาหาร ต่างๆไว้บริการมากมาย ซึ่งจะมีความคึกคักเป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งสีสันที่ดึงดูดของถนนเส้นนี้ นอกจากนี้ยังมี เกรทเฮ้าส์ โรงแรมไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีชื่อเสียงของกรุงเทพ

 

Summary
Review Date
Reviewed Item
สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร
Author Rating
51star1star1star1star1star

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *